เกร็ดความรู้


เกร็ดความรู้เกี่ยวกับภาษาไทย


  การใช้ภาษาไม่ชัดเจน  เกิดจาก 
     1. ใช้คำฟุ่มเฟือย
     การใช้คำฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นทั้งที่สามารถตัดออกได้โดยไม่ทำให้เสียความ  เช่น ตำรวจทำการจัดกุมคนร้าย  เขาออกเดินทางเมื่อเช้าตรู่ใกล้รุ่ง 
   2. ใช้คำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ
     ในภาษาไทยมีคำทับศัพท์จำนวนมาก  เนื่องจากการรับเอาคำศัพท์ภาษาต่างประเทศเข้ามา  ศัพท์บางคำมีคำที่ใช้ในภาษาไทย  ซึ่งจำเป็นต้องใช้เพื่อการสื่อสารให้ตรงความหมาย  เช่น  ชื่อเฉพาะ  ศัพท์ทางวิชาการ  แต่คำศัพท์บางคำมีคำไทยใช้หรือมีการบัญญัติคำศัพท์ในภาษาไทยที่ใช้กันทั่วไปอยู่แล้ว  ไม่จำเป็นต้องใช้คำทับศัพท์  เช่น  แสตมป์ (ดวงตราไปรณียากร)  บอมพ์ (ระเบิด)  กรุ๊ป (กลุ่ม)  เซ็นเตอร์ ( ศูนย์กลาง) 

  3. ใช้คำขัดแย้งกันในประโย
    การใช้คำขัดแย้งกันในประโยคโดยไม่ระมัดระวัง  อาจทำให้การสื่อสารสับสน  เช่น  เขาสวมกางเกงขายาวเหนือเข่า   ผู้หญิงคนนั้นเดินขวักไขว่อยู่คนเดียว

    4. ใช้ภาษาหนังสือพิมพ์แทนภาษาเขียนมาตรฐาน ภาษาหนังสือพิมพ์เป็นภาษาที่มีลักษณะเฉพาะ เนื่องจากผู้เขียนมีเจตนาให้ดึงดูดความสนใจ  เช่น  การพาดหัวข่าวโดยใช้คำกริยานำหน้าประโยค การใช้คำที่มีความหมายรุนแรงเกินความจำเป็น ฯลฯ  จึงไม่ควรนำมาใช้ในการพูดหรือเขียนโดยทั่วไป เช่น รวบมือมีดสังหารโหด บอลไทยวืด 

    5. ใช้คำผิดความหมาย
    การใช้คำผิดความหมายทำให้การสื่อสารคลาดเคลื่อน เช่น เขาทอดทิ้งเธอไว้ตามลำพังเพียงชั่วครู่ เสื้อผ้าของเขาดูเก่าคร่ำครึมาก

    6. ใช้คำต่างระดับ  ไม่คงที่
    ระดับของภาษา  ได้แก่  ภาษาปาก  ภาษากึ่งแบบแผน  และภาษาแบบแผน  และยังมีภาษาเฉพาะ  เช่น  ภาษาตามวัฒนธรรม  และภาษากวี  การใช้ภาษาต่างระดับทำให้มีความแตกต่างลักลั่น  เช่น  ดวงพระสุริยาฉายแสงกล้ามากในตอนบ่าย   มนุษย์ทุกคนต้องละสังขารในที่สุด

    7. ใช้สำนวนภาษาต่างประเทศ ภาษาไทยกับภาษาต่างประเทศมีรูปแบบโครงสร้างทางภาษาที่แตกต่างกัน  ในการแปลภาษาต่างประเทศ  บางครั้งผู้แปลไม่ได้ปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับลักษณะภาษาไทย  ทำให้มีลักษณะสำนวนต่างประเทศ  และกลายมาเป็นรูปแบบที่จดจำนำมาใช้  เช่น  เธอเข้ามาในห้องพร้อมกับช่อดอกไม้ในมือ  เขาจับรถไฟไปอย่างรีบร้อน  สองสาวที่นั่งอยู่ตรงนั้นเป็นเพื่อนกัน

    8. ใช้ภาษาพูดแทนภาษาเขียน
    ภาษาพูดหรือภาษาปาก  เป็นภาษาระดับหนึ่งที่ไม่เหมาะสำหรับใช้ในการเขียน  การนำภาษาพูดมาใช้ในการเขียนอาจใช้ได้การเขียเรื่องประเภทบันเทิงคดี  เพื่อให้ดูสมจริง  แต่ไม่สมควรนำมาใช้ในภาษาเขียนทั่วไป  โดยเฉพาะภาษาสะแลง  หรือภาษาคะนอง  เช่น  หนาวชะมัด  เด็กคนนี้แสบจริง ๆ 

    9. ประโยคมีความหมายกำกวม
    การใช้ภาษากำกวม  หมายถึงการใช้คำหรือภาษาที่อาจมีความหมายไม่ชัดเจน  หรือสื่อความได้หลายอย่าง  เช่น  เครื่องบินขับรถชนเขา  มีคนขนข้าวของเขาไป

     10. เรียงลำดับคำในประโยคไม่ถูกต้อง การเรียงลำดับคำในประโยคไม่ถูกต้องทำให้การสื่อสารไม่ชัดเจน เช่น  หนังสือบนชั้นเขาไม่เคยอ่านเลย หน้าตลาดตรงร้านขายปลาเขาได้พบเธอ

     11. ประโยคมีเนื้อความไม่สัมพันธ์กัน ประโยคที่มีเนื้อความไม่สัมพันธ์กันทำให้การสื่อสารสับสน  เช่น  เขาเรียนอุดมศึกษาและไปจ่ายตลาด ฝนตกหนัก  แม่จึงคลุกข้าวให้แมว

    12. การเว้นวรรคตอนผิด
    การเว้นวรรคตอนผิด  ทำให้การสื่อสารคลาดเคลื่อน  เช่น  เขาเป็นคนซื่อ/ ตรงมาก  อย่าอวด /อ้างมากเกินไป
   
    13. ใช้คำไม่เหมาะสมกับโอกาส  กาลเทศะและบุคคล การเลือกใช้ภาษาให้เหมาะสมกับโอกาส  กาลเทศะและบุคคล  เช่น  คำราชาศัพท์  คำที่ใช้สำหรับพระภิกษุ  และบุคคลระดับต่าง ๆ



ปัจจัยที่ช่วยให้เขียนคำได้ถูกต้อง 


๑. รู้ความหมายคำ คำในภาษาไทยมีคำที่ออกเสียงตรงกันแต่เขียนสะกดต่างกัน จึงทำให้มีความหมายไม่เหมือนกันเรียกว่า คำพ้องเสียง ถ้ารู้ความหมายของคำ จะทำให้เขียนสะกดคำได้ถูกต้อง เช่น

พัน(ผูก) พันธ์(เกี่ยวข้อง) พันธุ์(สืบทอด) ภัณฑ์(สิ่งของ) พรรณ(ชนิด, ผิว, สี)
โจทก์(ผู้ฟ้อง, ผู้กล่าวหา) โจทย์(คำถามในวิชาเลข) โจท(โพนทะนาความผิด)    
โจษ(เล่าลือ, พูดเซ็งแซ่)
สรร(เลือก, คัด) สรรค์(สร้างให้มีให้เป็นขึ้น)
รมย์(น่าบันเทิงใจ, น่าสนุก, พึงใจ, งาม, มักใช้ประกอบคำอื่น เช่น รื่นรมย์, เริงรมย์)
๒. ไม่ใช้แนวเทียบผิด คำบางคำแม้จะมีเสียงเหมือนกันแต่ความหมายหรือรูปศัพท์ ตลอดจนที่มาต่างกัน จะใช้แนวเทียบเดียวกันไม่ได้ เช่น
อานิสงส์ มักเขียนผิดเป็น อานิสงฆ์ เพราะไปเทียบกับคำ พระสงฆ์
ผาสุก มักเขียนผิดเป็น ผาสุข เพราะไปเทียบกับคำ ความสุข
แกงบวด มักเขียนผิดเป็น แกงบวช เพราะไปเทียบกับคำ บวชพระ
๓. ต้องออกเสียงให้ถูกต้อง การออกเสียงไม่ถูกต้อง ไม่ชัดเจนทำให้เขียนผิด เช่น
ผมหยักศก มักเขียนผิดเป็น ผมหยักโศก
พรรณนา มักเขียนผิดเป็น พรรณา
บังสุกุล มักเขียนผิดเป็น บังสกุล
ล่ำลา มักเขียนผิดเป็น ร่ำลา
กรวดน้ำ มักเขียนผิดเป็น ตรวจน้ำ
ประณีต มักเขียนผิดเป็น ปราณีต
๔. แก้ไขประสบการณ์ที่ผิดๆ ให้ถูกต้อง การเห็นคำที่เขียนผิดบ่อย ๆ เช่น เห็นจากสิ่งพิมพ์ ป้ายโฆษณา เป็นต้น ถ้าเห็นบ่อยๆ อาจทำให้เขียนผิดตามไปด้วย ก่อนจะเขียนคำจึงต้องศึกษาให้ได้คำที่ถูกต้องเสียก่อน เช่น
ทีฆายุโก มักเขียนผิดเป็น ฑีฆายุโก
อนุญาต มักเขียนผิดเป็น อนุญาติ
โอกาส มักเขียนผิดเป็น โอกาศ
เกร็ดความรู้ มักเขียนผิดเป็น เกล็ดความรู้
เกสร มักเขียนผิดเป็น เกษร
รสชาติ มักเขียนผิดเป็น รสชาด
กระทะ มักเขียนผิดเป็น กะทะ
..คำสุดท้ายนี่เห็นบ่อยมากนะคะ..ป้ายหน้าร้าน “หมูกะทะ” ผิดๆ.. ค่ะ
..ยังมีอีกแถวๆเชียงใหม่ “ใส้อั่วป้าอ้วน” ผิดอีกค่ะ ต้อง “ไส้อั่วป้าอ้วน” ค่ะ
๕. ต้องมีความรู้เรื่องหลักภาษา การเขียนหนังสือได้ถูกต้องจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้หลักภาษาเพื่อเป็นหลักและแนวทางในการใช้ภาษา หลักภาษาจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้ใช้ภาษาได้อย่างถูกต้อง
๖. ต้องศึกษาและติดตามเรื่องการเขียนสะกดคำ

 เช่น ศึกษาหนังสือและเอกสารต่างๆของราชบัณฑิตยสถาน อันได้แก่ พจนานุกรม สารานุกรม การใช้เครื่องหมายวรรคตอน การกำหนดชื่อเมือง จังหวัด ประเทศ ทวีป ตลอดจนติดตามประกาศการเขียนและอ่านคำของทางราชการอยู่เสมอ

                                            ข้อมูลจากhttp://gotoknow.org/blog/pasathaiauon/257465

3 ความคิดเห็น:

  1. ได้ความรู้มากมายเลยค่ะ เว็บนี้ดีมากค่ะ

    ตอบลบ
  2. เนื้อหาดีอ่านแล้วได้ความรู้มากมายคะ

    ตอบลบ